Avengers Endgame Review
Avengers Endgame Review
เป็นเวลามากกว่า 11 ปี ที่ค่าย Marvel ได้สร้างจักรวาลหนังของซุปเปอร์ฮีโร่ขึ้นมา เพื่อสานต่อเนื้อเรื่องให้มาบรรจบกันใน avengers: endgame full movie และก็ต้องยอมรับเลยว่าทางผู้จัดทำผู้สร้างจักรวาลของหนังซุปเปอร์ฮีโร่ของ Marvel ได้วางเนื้อเรื่องออกมาได้ดีจริง ๆ เมื่อรับชมหนังจบ เราจะเข้าใจเลยว่าที่ผ่านมา 11 ปีเราได้เห็นถึงความเชื่อมโยงของเนื้อเรื่อง และเหล่าตัวละคร เห็นความเปลี่ยนแปลงมากมายหลายอย่าง รวมไปถึงนักแสดง และการถ่ายทำหนัง มันยิ่งทำให้เรารู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครจากหนัง และจดจำเรื่องราวความประทับในตั้งแต่จุดเริ่มต้นมาจนถึงบทสรุปในหนังเรื่องนี้ทำให้ความรู้สึกเมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ ก็ยังสามารถที่จะกลับไปเริ่มต้นดูหนัง ของมาเวลใหม่ได้อีกเรื่อยๆ
หลัง ธานอส ดีดนิ้วสลายสิ่งมีชีวิตไปครึ่งจักรวาล สร้างบาดแผลให้ทีมอเวนเจอร์สอย่างยากจะเยียวยา แต่ด้วยเลือดนักสู้พวกเขาเลือกแปรความเจ็บปวดแล้วร่วมมือผู้รอดชีวิตต่อสู้กับเจ้าแห่งจักรวาล แม้จะด้อยทั้งกำลังคนและพละกำลัง แต่เพื่อแก้แค้นให้ครอบครัวอเวนเจอร์ส พวกเขาจะยืนหยัดต่อกรกับธานอส จากภาค infinity War ดูหนังบนเว็บฟรี ทำให้หลายคนปะติดปะต่ออารมณ์ตามได้ไม่ยากนัก เราได้เห็นการเสียขวัญและกำลังใจของตัวละครแต่ละตัวที่รอดจากการดีดนิ้ว ความเศร้า ความโกรธ ความรู้สึกผิดถูกถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจนด้วยการแสดงกับสีหน้า มันยิ่งเพิ่มความจุกอกของคนดูเข้าไปอีกและเชื่อมความสัมพันธ์ของตัวละครกับคนดูได้อย่างดีเยี่ยม แล้วก็ยิ่งเค้นความอยากรู้อยากเห็นว่าทุกอย่างจะดำเนินไปสู่จุดจบอย่างไรด้วย
รีวิวหนัง Avengers Endgame
นับจาก Ironman ภาคแรกในปี 2008 จนถึง Avengers Infinity War ในปี 2018 ที่ผ่านมาสิริรวมหนังเฉพาะในจักรวาลหนังมาร์เวลอย่างเป็นทางการ 21 เรื่องที่ผ่านมา หนังได้แนะนำให้เราได้รู้จักทั้งเศรษฐีค้าอาวุธกลับใจ คนตัวเล็กๆ ที่ต้องการโอกาสในการรับใช้ชาติ เทพเจ้าที่ค้นพบคุณค่าความเป็นมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์ผู้มีปีศาจแห่งความโกรธแฝงในตัว กลุ่มคนนอกคอกแห่งกาแล็คซี่ เด็กน้อยที่พยายามบาลานซ์เรื่องครอบครัวและการปกป้องโลก
กระทั่งหัวขโมยกลับใจมาเป็นฮีโร่ร่างจิ๋ว ไม่เว้นแม้แต่ฝั่งสาวๆ ที่ทำให้หนุ่มๆ เห็นถึงพลังของผู้หญิงที่มาพร้อมกับความสวยงาม ซึ่งจากที่กล่าวมาหากเราถอดพลังวิเศษ ถอดชุดเกราะหรือเรื่องราวไซไฟล้ำยุคออก มันแทบจะเป็นบทบันทึกด้านมนุษยวิทยาร่วมสมัยย่อมๆ ได้เลย จนระยะเวลาร่วม 12 ปี มาร์เวลไม่เพียงทำให้เหล่าซูเปอร์ฮีโร่เป็นเพียงผู้พิทักษ์ หรือเป็นไอดอลสำหรับคนดูเท่านั้น แต่เรื่องเล่าและตัวละครที่แข็งแรงของมันกลับทำให้พวกเขากลายเป็นเพื่อน เป็นพี่ชาย และท้ายที่สุดบางคนก็กลายเป็นพ่อ ที่เราผูกพันสัมผัสได้ถึงจิตใจแห่งความเป็นมนุษย์นั่นต่างหากคือความแข็งแรงของจักรวาลภาพยนตร์มาเวลที่ยากเกินใครเลียนแบบ
ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่หนังมาร์เวลแต่ละเรื่องมีความโดดเด่น แตกต่างและได้ความบันเทิงแบบไม่ทิ้งคุณภาพของภาพยนตร์คือการคัดเลือกผู้กำกับที่ตาถึงมากๆ ของ เควิน ไฟกี โปรดิวเซอร์ผู้เป็นเสมือน นิค ฟิวรี่ ผู้ประสานจักรวาลภาพยนตร์ที่ผ่านมาตลอด 3 เฟส และการตัดสินใจที่เรียกได้ว่าแจ๊คพ็อตครั้งหนึ่งของไฟกี คือการเลือก แอนโธนี และ โจ รุสโซ่ เลื่อนขั้นจากผู้ช่วยผู้กำกับมาเป็นผู้กำกับเต็มตัวตั้งแต่ Captain America Winter Soldier ที่แอบใส่เรื่องการเมืองร่วมสมัยลงไป และมาทดลองทำหนังก่อนอเวนเจอร์ส อย่าง Captain America Civil War ที่เรียกได้ว่าเป็นหนังอเวนเจอร์สย่อมๆ ได้เลย และแน่นอนเมื่อได้มาสานต่อหนังที่ใกล้ปิดท้ายเฟส 3 อย่าง avengers: endgame จบ พี่น้องรุสโซ่ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง
เพราะนอกจากบทภาพยนตร์ที่กลั่นกรองมาเป็นอย่างดีทั้งเหตุปัจจัยต่างๆที่บีบให้ตัวละครต้องสู้ เดิมพันที่ตัวละครจะต้องจ่ายเพื่อให้ชนะศึกครั้งนี้ที่ถูกถักทออย่างเป็นเหตุเป็นผลมากๆ จนหนังกล้าที่จะให้เรื่องราวกว่า 40% ของมันเป็นดราม่าทั้งที่คนดูต่างตั้งความหวังมาดูฉากแอ็คชั่นหรือความแฟนตาซี แต่ดราม่าของมันกลับนำพาอารมณ์ผู้ชมไปสำรวจจิตใจและสร้างอารมณ์ร่วมกับตัวละครอย่างได้ผล โดยเฉพาะการกำกับซีนดราม่าที่เอาคอเมดีแทรกของพวกเขายังทำให้เห็นทักษะในการเล่นกับอารมณ์ผู้ชมเป็นอย่างดี ที่สำคัญมันยังสามารถเชื่อมร้อยเหตุการณ์ในหนังก่อนหน้าได้อย่างสมเหตุสมผลและน่าประทับใจมาก
แต่ข้อเสียที่ไม่น่าพลาดเลยก็คือตัวหนังพยายามเน้นที่กลุ่มฮีโร่มากเกินไป ธานอสดีดนิ้วทั้งทีเราไม่ได้เห็นสภาพทั้งโลกและจักรวาลเลยว่าโดนผลกระทบแค่ไหน หนังไม่ได้บิ้วท์เพิ่มให้คนดูว่าเหตุการณ์มันเลวร้ายแค่ไหน มีแค่ฉากแพนกล้องให้ดูเมืองอยู่ไม่กี่ฉากเท่านั้น มีฉากอนุสรณ์สถานคนที่สาบสูญ แต่ก็แค่นั้น คือตั้งใจให้คนดูรู้แค่ว่า “หายไปครึ่งจักรวาล” แค่นี้ก็พอ ทั้งๆ ที่มันยังมีโอกาสบิ้วท์ได้อีกเยอะโคตรๆ อีกข้อที่พลาดคือสปอยล์ว่าระหว่างฮอว์คอายกับแบล็ควิโดว์ใครจะตายตั้งแต่ Trailer แล้ว เพราะว่าพอไปถึงฉากเอาโซลสโตนแต่ยังไม่เห็นฮอว์คอายวิ่งหนีไฟแบบใน Trailer ก็รู้แล้วว่าแบล็ควิโดว์เสียสละ เว็บหนังฟรีออนไลน์
การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ของเหล่าฮีโร่
แต่ถึงอย่างนั้น อีกสิ่งที่ต้องชมก็คือ Marvel Studios กล้าทำหนังโทนเครียดโทนหม่นในที่สุด ภาคนี้ดูแล้วเครียดกว่าภาคที่แล้วเยอะกว่ามากๆ โดยเฉพาะในช่วงต้นเรื่อง ซีนอารมณ์จัดเต็ม แถมยังมีฉากโหดด้วย แม้จะไม่เท่า Logan หรือ Deadpool ของ Fox แต่ก็ถือเป็นแนวทางใหม่ที่ดีที่อยากให้ทำอีกในอนาคต
อารมณ์ขันก็ยังไม่หายไป แม้จะไม่ได้ตลกพร่ำเพรื่อแบบ Captain Marvel แต่ก็มากพอที่จะพูดได้เต็มปากว่านี่คือตลกคณะ Marvel Studios เจ้าเก่า แถมที่สำคัญคือตลกธรรมชาติด้วย ธรรมชาติมากๆ ไม่เหมือนเรื่องอื่นที่อาจจะเซ็ตฉากขึ้นมาให้เป็นมุกโดยเฉพาะหรืออาจจะพูดติดตลกขึ้นมาโพล่งๆ ซะอย่างนั้น แต่ในเรื่องนี้มุกอยู่ในเนื้อเรื่อง ทุกอย่างตลกไปด้วยบทหรือคำพูดที่สำคัญกับเรื่องราวทั้งนั้น มุกน่ารักๆ ก็ยังมีแบบฮัล์คแด๊ป หนังฮอลลีวู้ดย้อนเวลา ธอร์ติด Fortnite ติดเหล้าลงพุง (เหนือความคาดหมายมาก) avengers: endgame movie
แฟนเซอร์วิสคือส่วนที่เจ๋งที่สุดของเรื่องนี้ มีฉากเด็ดๆ หลายฉากที่คนรักคอมมิคจะต้องชอบ หรือถ้าใครดูแต่หนังมาก็ยังคงมีฉากเอาใจแฟนๆ ที่ติดตามมา 21 เรื่อง ด้วยเหมือนกัน ย้ำว่าเยอะมาก และในฐานะเรื่องสั่งลาของนักแสดงบางคน ในฐานะเรื่องที่เน้นอเวนเจอร์รุ่นแรกสุด มันเป็นโมเมนต์ที่ทำให้คนดูถูกใจคล้อยตามได้ไม่ยาก ต้องตราตรึงติดใจคนดูไปอีกนาน ไม่ว่าจะ “เฮล ไฮดร้า” “แอนด์ไอ…. แอมไอรอนแมน” กัปตันใช้ค้อนธอร์ ฮัล์คแบกตึก โหมดอินสแตนซ์คิลของชุดสไปเดอร์แมน และอีกมากมาย
อีกส่วนหนึ่งของหนังที่อยากชื่นชมคือการพยายามเปลี่ยนทัศนคติและสร้างมุมมองด้านบวกต่อเพื่อนมนุษย์ ทั้งการให้ความโดดเด่นกับตัวละครผู้หญิง ด้วยภาพลักษณ์ของนักรบที่พร้อมทั้งความงามและความกล้าหาญ รวมไปถึงบทบาทสำคัญในการประคับประคองครอบครัว หรือการให้พื้นที่คนผิวสีในหนังฮีโร่ ซึ่งแม้จะมีช่วงเวลาโชว์พลังหรือความโดดเด่นน้อยไปหน่อย แต่เรียกได้ว่าแมสเสจที่ผู้สร้างพยายามจะส่งผ่านไปยังผู้ชมก็สามารถรับรู้ได้เป็นอย่างดี ถือเป็นการสานต่ออารมณ์ร่วมของยุคสมัยทั้งการเมืองเรื่องเพศ การเมืองเรื่องสีผิว และทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรอย่างดิสนีย์ ดูเป็นองค์กรที่มีความหลากหลายในเชิงพหุวัฒนธรรมจากคอนเทนต์ที่ผลิตมาตลอด 12 ปีนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งสิ่งที่ผมชอบที่สุดคือแม้ชื่อภาคและการตลาดจะทำให้เราจดจ่อแค่ว่าเหล่าฮีโร่จะจัดการกับธานอสยังไง แต่ที่จริงมันกลับมีเรื่องเล่าที่สัมผัสใจ และความสนุกที่เกินพิกัดเท่าที่หนังเรื่องหนึ่งจะให้ได้จริงๆ ดูหนังฟรีไม่มีสะดุด
การเลือกบทย้อนเวลาแบบนี้ทำให้คนดูได้ย้อนเวลาตามในหนังไปตอนดูเรื่องต่างๆ ในช่วง 11 ปี ที่ผ่านมา มันได้ทั้งคิดถึง รำลึก เพิ่มเนื้อเรื่อง แซวหนังเก่าตัวเอง กลายเป็นแฟนเซอร์วิสที่ทำออกมาได้ใจสุดๆ ได้โอกาสสร้างซีนซึ้งมากมาย ทั้งฉากอย่างโทนี่กับพ่อ สตีฟกับเพ็กกี ธอร์กับแม่ และฮอว์คอายกับแบล็ควิโดว์แย่งกันสละชีวิต
บทสรุปการต่อสู้เพื่อปกป้องโลก
แต่พอดูไปดูมาก็รู้เลยว่ามันแลกมากับศึกสุดท้ายที่โดนลดทอนอารมณ์ด้านลบต่อธานอสไป เพราะมันเป็นธานอสคนละคน คนที่เรารู้จักกันดีจากภาคที่แล้ว (ซึ่งเป็นภาคที่ดีมากๆ) หัวขาดไปตั้งแต่ต้นเรื่องแล้ว คนในศึกสุดท้ายมันก็เป็นแค่ธานอสที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานมาทำสงคราม ไม่ใช่ธานอสที่ห้ำหั่นกันเอาเป็นเอาตายกันมาก่อนในภาคที่แล้ว บางทีก็รู้สึกเลยว่าถ้าไม่มีเรื่องดีดนิ้วหายครึ่งจักรวาล ถ้ามันไม่ใช่ตัวร้ายที่โคตรเก่งทั้งบู๊ทั้งบุ๋นจริงๆ นี่ Infinity War ก็จะดูเสียเปล่าไปเลย
แต่ก็ไม่ใช่ว่าศึกสุดท้ายจะน่าเบื่อ คือสามต่อหนึ่งสู้กันมันส์จริงๆ กัปตันใช้ค้อนถึงแม้จะรู้ว่ามีแน่ๆ ตามคอมมิคแต่จังหวะปล่อยของมันก็เพอร์เฟกต์เหลือเกิน ช็อตที่พีคในเรื่องคือตอนเริ่มต้นศึกนี่เอง ขณะที่ฝ่ายฮีโร่กำลังวิกฤติสิ้นหวัง กัปตันอเมริกาฝืนยืนหยัดขึ้นประจัญหน้ากับธานอสตัวคนเดียว เสียงรอบตัวค่อยๆ เงียบลง อยู่ดีๆ ก็มีคนเรียกให้มองทางซ้ายข้างหลัง ท่ามกลางความเงียบสนิท บนอากาศที่มีแต่ซากการทำลายล้างค่อยๆ มีสีเหลืองอร่ามหมุนๆ ปรากฏขึ้นมา มันคือประตูมิติของจอมเวทย์ที่คุ้นเคย เงาสามเงาเดินออกมาจากประตูมิติอย่างช้าๆ และคนที่เดินออกมาก็คือโอโคเย ชูริ และฝ่าบาท แบล็คแพนเธอร์ รีวิวหนังดีหนังดัง
ตอนนี้ คนดูรู้แล้วว่าทุกคนที่เคยโดนดีดนิ้วหายไปได้กลับมาและกองทัพวากันดาตามมาช่วยแล้ว แต่มันไม่ใช่แค่นั้น ประตูมิติค่อยๆ ปรากฏเพิ่มมากขึ้นๆ เหล่าฮีโร่ทุกคนที่สลายหายไปทั้งหมดตอนนี้ได้กลับมาช่วยสู้แล้ว ทุกคนมารวมตัวพร้อมหน้ากัน โดยมีกัปตันอเมริกานำหน้าเป็นแม่ทัพ พร้อมทำศึกกับกองทัพของธานอสอีกครั้ง
สำหรับ avengers 4: endgame ที่มีความยาวหนัง 3 ชั่วโมงแต่ความรู้สึกตอนดูกับรู้สึกว่าไม่เบื่อเลย ตามสไตล์หนังของมาเวลที่เต็มไปด้วยความสนุกและมุขฮา ๆ ออกมาตลอดสร้างเสียงหัวเราะเช่นเคยดูแล้วอมยิ้มและมีความสุขจริง ๆ แต่ฉากเศร้าก็ทำให้ถึงกับอินตามไปเลยเพราะด้วยความที่ผูกพันธ์กับหนังของมาเวลมาถึง 11 ปี ทำให้เราอินกับหนังมาก ๆ เอฟเฟคของหนังในเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีจริงๆ เรียกได้ว่าไร้ที่ติเลยทีเดียว ทั้งฉากต่อสู้และฉากโชว์พลังของตัวละคร ดูแล้วให้ความ
รู้สึกว่าเป็นซุปเปอร์ฮีโร่จริง ๆ หนังของมาเวลมีความพัฒนาให้เราเห็นมาโดยตลอด จนเมื่อดูหนังเรื่องนี้จะเห็นได้เลยว่าเอฟเฟค CG ต่าง ๆ มาไกลมาก ๆ ตัวเนื้อเรื่องของหนังจะทำให้เราได้เห็นถึงความตั้งใจ ของค่ายหนังมาเวลจริง ๆ ที่ใช้เวลากว่า 11 ปี เพื่อเชื่อมโยงตัวเนื้อเรื่องของเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ให้มาจบลงในภาคนี้ได้อย่างลงตัวที่สุด ถือว่าเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องแรกเลยที่มีการวางแผนการของหนังเป็นเวลาหลายปี คอยคิดถึงฉากแต่ละฉากให้มาเชื่อมโยงกัน นับถือคนเขียนจักรวาลมาเวลเลยจริงๆ