รีวิว The Flash – ซูเปอร์ฮีโร่ที่รวดเร็วที่สุดใน DC
หากพูดถึงหนังฮีโร่เพื่อน ๆ จะนึกถึงหนังเรื่องอะไรเป็นเรื่องแรก ๆ ครับ สำหรับผมขอยกให้ Black Panther อันดับหนึ่งเลย แต่เดี๋ยวก่อน วันนี้เราไม่ได้จะมา รีวิวหนังมาร์เวล แต่จะมาพูดถึงหนังมัลติเวิร์สเรื่องแรกจากค่าย DC ภาพยนตร์แนวแอคชั่นผจญภัยแฟนตาซี เรื่อง The Flash 2023 (เดอะ แฟลช) โดยผู้กำกับแอนเดรส มัสเชียติ แสดงนำโดยเอซรา มิลเลอร์, ไมเคิล คีตัน, เบน แอฟเฟลก เรียกได้ว่าฝ่าฟันวิกฤติข่าวฉาวและความเอาแน่เอานอนของสถานการณ์โควิด-19 มาร่วม 4 ปี ก็จะมีโอกาสจะอวดโฉมตัวเองให้ผู้ชมได้ประจักษ์กันบนตาเนื้อของทุกท่านกันแล้ว หลังจากเราได้แต่เสพข่าวการฉายรอบทดลองที่มีแต่คนอวยยศกันมาแรมปี และการฉายครั้งนี้ยังมีความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์ของหนังซูเปอร์ฮีโรจากดีซี คอมมิกอีกด้วย อย่าลืมไป ดูหนังใหม่ เรื่องอื่น ๆ ติดตามได้ที่นี่
รีวิว The Flash เรื่องราวสุดวุ่นวายของ Barry Allen
ภาพยนตร์เรื่องนี้จะติดตามเรื่องราวสุดวุ่นวายของ Barry Allen หรือ The Flash (รับบทโดย Ezra Miller) หนึ่งในสมาชิกของทีม Justice League ที่กำลังเผชิญกับปัญหามากมายในชีวิต โดยเฉพาะเรื่องครอบครัวที่แม่ของเขาถูกสังหารในตอนที่เขายังเด็ก
แถมพ่อเขายังต้องตกเป็นผู้ต้องหาอีกทั้งที่ในตอนที่แม่เสียชีวิตพ่อเขาไม่ได้อยู่ในบ้าน จนกระทั่งวันหนึ่ง Barry ได้รู้ว่าตัวเองสามารถเดินทางย้อนเวลาได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะเดินทางย้อนไปยังอดีตเพื่อช่วยเหลือชีวิตแม่ของตัวเอง
ทว่าการกระทำของเขาในครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบที่ร้ายแรงมากมายจนเหตุการณ์ในอนาคตเปลี่ยนแปลงไปหมด และทำให้เกิดทางแยกกลายเป็นมัลติเวิร์ส งานนี้ Barry จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ไขสิ่งที่เขาทำลงไป ท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร The Flash end Credit
เรื่องย่อ
The Flash ว่าด้วยเรื่องราวของ แบร์รี ที่ใช้พลังเหนือธรรมชาติของเขาย้อนเวลากลับไปเพื่อเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ในอดีต แต่ความพยายามในการช่วยเหลือครอบครัวของเขา ทำให้อนาคตเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่คาดฝัน แบร์รีติดอยู่ในความเป็นจริงใหม่ที่นายพลซอด กลับมาอีกครั้ง เพื่อล้างบ้างทุกสิ่งมีชีวิต และไม่มีซูเปอร์ฮีโร่คนไหนเลยที่จะก้าวเข้ามาหยุดยั้งได้
หนังเล่าเรื่องราวของ “แบร์รี อัลเลน” (รับบทโดย Ezra Miller) พนักงานธรรมดาๆ ที่มีอีกตัวตนหนึ่งในนาม “The Flash” (เดอะแฟลช) หนึ่งในซุปเปอร์ฮีโร่ที่ทำหน้าที่ปกป้องโลก แต่เบื้องหลังแล้วเขากำลังเผชิญกับความเศร้า เพราะพ่อของแบร์รีเป็นแพะรับบาป ถูกตัดสินให้จำคุกในข้อหาฆาตกรรมภรรยา ซึ่งก็คือแม่ของเขานั่นเอง ทั้งคู่รู้ว่านี่คือเรื่องของความไม่ยุติธรรมที่ครอบครัวได้รับ แม้จะพยายามทำทุกหนทางเพื่อให้พ่อเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเขา
จนกระทั่งวันหนึ่งแบร์รีค้นว่าตัวเองมีพลังพิเศษของ The Flash นั่นก็คือ “สปีดฟอร์ซ” ซึ่งทำให้ใช้พลังความเร็วเหนือแสงย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ แบร์รีจึงพยายามที่กลับไปช่วยชีวิตแม่ของตัวเอง จนย้อนกลับไปพบกับตัวเองในวัย 18 อีกครั้ง
จึงกลายเป็นต้นเหตุเรื่องวุ่นๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นผลกระทบจากสิ่งที่เขาพยายามจะแก้ไขอดีตนั่นเอง ขณะเดียวกัน “นายพลซอร์ด” ตัวร้ายคู่ปรับของซุปเปอร์แมนก็ปรากฏตัวขึ้นเพื่อหวังทำลายโลก
เขาและแบร์รีวัย 18 จึงต้องร่วมมือกัน ด้วยการเดินทางไปขอความช่วยเหลือจาก “แบทแมน” เจ้าแห่งรัตติกาลให้มาร่วมทีมในภารกิจสำคัญเพื่อกอบกู้โลกในครั้งนี้ หลาย ๆ คนถาม the flash 2023 สนุกไหม ผู้เขียนได้แต่แนะนำว่าให้ลองไปดูแล้วตัดสินใจเองครับ
ผลงานผู้กำกับชื่อดัง แอนเดรส มัสเชียติ
“แอนเดรส มัสเชียติ” มารับหน้ากำกับหนังเรื่องนี้ ซึ่งเป็นการกำกับหนังซูเปอร์ฮีโร่และหนังฟอร์มใหญ่ยักษ์ทุนมโหฬารเรื่องราวของเขาด้วย แต่ก็แอบเสียดายนิดหน่อยที่งานกำกับหนังเรื่องนี้ของเขากลับยังไม่ใช่ผลงานที่ได้มีโอกาสโชว์ฝีมือได้อย่างโดดเด่น
เห็นได้ชัดว่าเขาแค่มาเป็นรับหน้าที่ น้อยมากที่จะสัมผัสได้ถึงวิสัยทัศน์ที่แตกต่างไปจากระบบนายทุนที่เข้ามาข้องเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้เป็นส่วนใหญ่ ทุก ๆ อย่างถูกจับใส่เข้ามาอย่างเป็นจังหวะ ๆ ตั้งใจจะทำให้คนดูเซอร์ไพรส์เกินไป จนไม่ได้รู้สึกเซอร์ไพรส์มากนัก
แต่อย่างน้อย ๆ ก็ยังดีที่ได้บทหนังของมือเขียนบทอันดับต้น ๆ ของวงการตอนนี้ อย่าง “คริสตินา ฮอดสัน” มาช่วยพยุงเอาไว้ ท่ามกลางเส้นทางที่ท้าทายและยุ่งเหยิงไม่เบา ก็เป็นไปตามที่ลือ ๆ กันว่าหนังหยิบเนื้อหาบางส่วนมาจากฉบับคอมิก Flashpoint มาเล่นด้วย
นั่นจึงเป็นปัจจัยที่ทำให้หนังยังมีกลิ่นอายความเป็นการ์ตูนปะปนอยู่หน่อย แต่มิติที่ทับซ้อนและซับซ้อนของหนังเรื่องนี้ก็ทำได้แค่เกือบ แต่ยังไม่ถึงระดับสมบูรณ์แบบใด ๆ the flash มีกี่ภาค
หนังที่แฟน DC ไม่ควรพลาด
อาจจะต้องบอกว่าถ้าหากคุณเป็นแฟน ๆ ตัวละครฮีโร่หรือดีซี The Flash น่าจะเป็นหนังที่เพลิดเพลินได้ดีสำหรับคุณในระดับหนึ่งเลย แต่หากว่าใครที่ไม่ได้มีพื้นฐานหรือเพิ่งมานั่งทำความรู้จัก ณ ตอนนี้ ก็อาจจะมีบางมุมที่รู้สึกเอะใจและยังไม่เข้าใจกับทฤษฎีด้าน ๆ
เกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลา และข้ามพหุจักรวาล ที่ยังไม่ค่อยได้รับการอธิบายที่เคลียร์สักเท่าไหร่ แต่นั่นก็ไม่ใช่จุดที่มาบั่นทอนความสนุกของตัวเองอะไรเท่าไหร่นัก และแน่นอนว่า “เอซรา มิลเลอร์” ก็คือตัวแบกหนังเรื่องนี้เอาไว้ได้อย่างเพอร์เฟค
ในแง่นักแสดงนั้น เขาก็คือหนึ่งในนักแสดงที่เต็มไปด้วยฝีมืออันเหลือหลาย เขาสร้าง แฟลช ออกมาในรูปแบบที่แฟน ๆ จะชอบใจ พร้อมกับมอบการแสดงที่ค่อนข้างกินใจและท้าทายตัวเองอยู่ตลอดระยะเวลากว่า 2 ชั่วโมงเศษ ๆ ของหนังเรื่องนี้
ไม่ว่ายังไง แฟลช ก็ยังเหมาะที่จะเป็นเขามารับบทนี้อยู่ ขณะที่ตัวละครสมทบอื่น ๆ อย่าง “ไมเคิล คีตัน” ที่กลับมารับบทเป็น แบทแมน อีกครั้งรอบหลายสิบปี เขาก็ยังคงเอกลักษณ์เอาไว้ได้
ถึงแม้ว่าบทบาทและมิติของเขาในหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้โดดเด่นอะไรอย่างที่คาดหวังไว้ เช่นเดียวกับ “ชาซ่า แคลล์” ที่มารับบทเป็น ซูเปอร์เกิร์ล ที่เสน่ห์ของเธอเหลือร้ายจริง ๆ ทั้งดุดัน ทั้งทรงเสน่ห์ เป็นอีกหนึ่งตัวละครใหม่ที่น่าจะทำให้แฟน ๆ หลงใหลได้ แม้ว่าจะแบบกรุบกริบแค่นั้นก็ตาม
รีวิว The Flash หนังฮีโร่ฝั่งดีซีที่สามารถมอบความบันเทิงชั้นดีได้ดี
ทางด้านงานเทคนิคพิเศษ หรือ CGI ในหนังเรื่องนี้นั้น ก็อาจจะบอกได้ว่าดีตามมาตรฐาน เพราะหนังเรื่องนี้แทบจะใช้ซีจีในทุก ๆ ซีนเสียด้วยซ้ำ ถึงจะมีฉากแอคชั่นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะฉากโหมโรง แต่ก็แอบมีสิ่งที่มาทำให้รู้สึกขัดใจเล็ก ๆ น้อย ๆ กับความไม่แนบเนียนและลอยโดดไปนิดหน่อยของพวกซีจีต่าง ๆ ที่อาจจะไม่เนียนกริบได้พอ แต่โดยภาพรวมนั้นยังถือว่าไม่แย่ เพียงแต่ก็ยังไม่ได้ดีที่สุดอะไร
ดังนั้น The Flash ก็ถือว่าเป็นที่ยังมอบความบันเทิงชั้นดีได้ดีจากฝั่งดีซี หนังอาจจะดีกว่าเรื่องก่อนหน้านี้ขึ้นมาหน่อย แต่ยังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบทุกองค์ประกอบอะไร หนังยังคงมีกลิ่นอายและลายเส้นสไตล์ดีซีอยู่ชัด
พล็อตที่ค่อนข้างสนุกแต่ก็ยังลำดับไล่เรียงเรื่องราวไปได้ยังสุดทางเท่าไหร่นัก แม้นักแสดงจะช่วยประคอบหนังเอาไว้ได้มากไม่น้อย แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เรากลับพบว่ามันก็ยังวนเวียนอยู่ในอ่างเดิม ๆ ที่ยังพอดูได้เพลิน ๆ แต่กลับยังไม่ได้มีอะไรให้น่าจดจำได้ขนาดนั้น
บทภาพยนตร์ที่เขียนโดย คริสตินา ฮอดสัน (Christina Hodson) กับโจบี ฮาโรลด์ (Joby Harold) หาทางออกฉลาด ๆ ให้หนังได้เป็นอย่างดี เพราะโจทย์ยากของ ‘The Flash’ คือหนังมาตามหลัง ‘Justice League’ ซึ่งไม่เคยบอกที่มาของเดอะแฟลชและการจะมาเล่าต้นกำเนิดตรงๆ ก็ดูไม่เข้าท่าเพราะผู้ชมได้เห็น มิลเลอร์ในฐานะ เดอะ แฟลช ไปแล้ว ดังนั้นหนังจึงอาศัยช่องว่างของประเด็นที่ยังไม่เคยพูดถึง
หนึ่งใน The Flash เวอร์ชั่นที่ดีที่สุด
สำหรับภาพยนตร์เรื่อง The Flash (เดอะแฟลช) เวอร์ชันปี 2023 นำแสดงโดย เอซรา มิลเลอร์ ได้สร้างภาพจำให้ตัวละครเอกด้วยคาแรกเตอร์เฉพาะตัว เมื่อเด็กหนุ่มท่าทางไฮเปอร์ต้องมารับบทฮีโร่พิทักษ์โลก แถมมีพลังสปีดความเร็วเหนือแสงในการทำภารกิจต่างๆ
ก็ยิ่งสร้างความน่าสนใจว่าบทบาทที่ท้าทายนี้ เอซราจะทำออกมาได้ดีมากน้อยแค่ไหน ทางด้านผู้กำกับ Andy Muschietti ได้หยิบจับคาแรกเตอร์และตัวตนจริงๆ ของนักแสดงเอซรามาผสมกับตัวละครฮีโร่ตามฉบับคอมมิกส ช่วงพาร์ตแรกๆ ของหนังอาจค่อนข้างน่าเบื่อ
ดำเนินเรื่องยุ่งเหยิง โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เป็นคอหนัง DC หรือผู้ที่ไม่ได้ติดตามเรื่องราวของ The Flash มาก่อน อาจจะงงๆ หรือสับสนกับพลังและทฤษฎีต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ สุดท้ายนี้เราขอแนะนำ รีวิว Only Murders In The Building หนังดีที่คุณไม่ควรพลาด
ประเภท: แอคชั่น / ผจญภัย / ไซไฟ
ผู้กำกับ: แอนเดรส มัสเชียติ
นำแสดงโดย: เอซรา มิลเลอร์, ไมเคิล คีตัน, ซาช่า แคลล์
ความยาว: 144 นาที
กำหนดฉายในไทย: 15 มิถุนายน 2023