รีวิว GHOST RIDER SPIRIT OF VENGEANCE
รีวิว GHOST RIDER SPIRIT OF VENGEANCE ในปี 2012 เรียกได้ว่าแฟนๆ ที่อ่านหนังสือการ์ตูนต่างต้องยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีแต่ภาพยนตร์จากหนังสือการ์ตูนเข้าเต็มไปหมด ทั้ง The Avengers และ The Dark Knight Rises และเป็นปีเดียวกันกับภาพยนตร์ของ Mark Neveldine และ Brian Taylor อย่าง Ghost Rider : Spirit of Vengeance ฉายเช่นกัน โดยในภาคนี้ทำให้แฟน ๆ ต่างผิดหวังกับภาพ Nicolas Cage บนหลังอานมอเตอร์ไซต์เสียจริง
Spirit of Vengeance เป็นภาคต่อของภาพยนตร์ชื่อเดียวกันในปี 2007 และมันแย่กว่าที่หลาย ๆ คนคาดไว้มากทำให้ได้รับคะแนนไป 18% จากทางเว็บมะเขือเน่า และดูเหมือนว่าทาง Columbia Pictures ไม่มีทีท่าสนใจจะทำภาพยนตร์ภาคต่อของ Ghost Rider เลยแม้แต่น้อย
Ghost Rider : Spirit Of Vengence เรื่องราวของฮีโร่สุดดาร์คอย่าง โกสต์ ไรเดอร์ ในภาคนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากภาคแรก ที่ จอห์นนี่ เบลซ นั้นต่อสู้กับคำสาปของตัวเอง และ ยับยั้งตัวเองเพื่อไม่ให้กลายร่างเป็น ไอ้กระโหลกผี โกสต์ ไรเดอร์ แต่แล้วก็ดันมีเรื่องยุ่งๆมาทำให้ต้องกลับไปขยี้คนชั่ว เมื่อมี เด็กชาย ปริศนา นั้นได้ถูกลัทธิอะไรบางอย่างจับตัวไป
เพราะคำทำนายที่ว่าเด็กชายคนนี้มีพลังซาตานที่จะทำลายโลกให้ย่อยสลายไปได้ จึงเดือดร้อนมาถึง จอห์นนี่ เบลซ ที่ต้องออกซิ่งรถเพื่อไปช่วยเด็กชายอีกครั้ง เพื่อแลกกับการที่หัวหน้านักบวชผู้ว่าจ้างนั้นจะถอนคำสาปการเป็น ไรเดอร์ ให้กับเขาได้Ghost Rider : Spirit of Vengence ในภาคนี้นั้นได้เปลี่ยนตัวผู้กำกับมาเป็นคู่หูสุดคลั่งแห่งวงการฮอลลีวู้ดอย่าง มาร์ค เนเวลไดน์ และ ไบรอัน เทย์เลอร์ ที่พวกเราคงรู้จักพวกเขากันดี เพราะเขานั้นเองที่เป็นผู้กำกับคู่หูที่เคยทำเอาคนดูคลั่งจนตกเก้าอี้กันมาแล้วกับ Crank ทั้ง 2 ภาค และรวมไปถึงหนังคนเล่นเกมส์สุดเถื่อนอย่าง Gamer อีกด้วย ซึ่งในภาคนี้ที่พวกเขามาควบคุมการกำกับนั้นก็ได้ให้คำสัญญากับคนดูตั้งแต่ตัวอย่างว่ามันจะเถื่อนกว่า แรงกว่า และ เกรดบีกว่าภาคแรก และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะสิ่งเดียวที่ช่วยให้ Ghost Rider ภาคนี้พอดูได้จนจบนั้นคือสไตล์งานกำกับของคู่หูสุดเถื่อน ที่ยังพอมีลายเซ็นความคลั่ง ความบ้า ออกมาให้ผู้ชมได้ชมกันอยู่แทบตลอดทั้งเรื่อง พร้อมไปกับการที่เป็นความชอบส่วนตัวของผมต่อนักแสดง นิโคลัส เคจ ดูหนัง
จึงแอบรู้สึกดีใจนิดๆที่ยังคงได้เห็น เคจ ในหนังฟอร์มใหญ่ๆอยู่บ้าง พร้อมไปกับฉากแอ็คชั่นของหนังที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดูมันส์ระเบิดระเบ้อมากมาย แต่สองผู้กำกับคนนี้ก็ถือว่ายังทำออกมาได้ดูเล่นๆได้อย่างสบายๆ ควบคู่ไปกับดนตรีประกอบสุดร็อคของหนังที่แต่งโดย เดวิด ซาร์ดี้ ที่ถึงแม้ดนตรีประกอบ และ ฉากของหนังที่กำลังฉาย อยู่นั้นจะมีอารมณ์ต่างกันสุดขั้ว แต่ในใจลึกๆก็ต้องยอมรับว่าเพราะดนตรีประกอบนั้นแหละที่ทำให้ฉากแอ็คชั่นเหล่านั้นรู้สึกมันส์ได้อย่างประหลาดๆ แต่ก็มีแค่ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นแหละที่เป็นข้อดีใน Ghost Rider ภาคนี้ เพราะที่เหลือของหนังในภาคนี้นั้นถือว่าทำออกมาค่อนข้าง น่าผิดหวัง
เริ่มตั้งแต่ด้านของประเด็นเรื่องความดี ความชั่ว ที่ตัวหนังได้เริ่มตั้งโจทย์มาได้อย่างน่าสนใจเกี่ยวกับฮีโร่สุดดาร์คตัวนี้ แต่สุดท้ายนั้นหนังก็กลับไม่ได้เลือกใช้บริการโจทย์นี้เกี่ยวกับความดี ความชั่ว สักเท่าไหร่ หนำซ้ำยังตัดทิ้งอย่างไม่มีเยื่อใย แต่ที่น่าผิดหวังในภาคนี้ที่สุดคือด้านของ มุมกล้อง และ การตัดต่อ ของผู้กำกับ ที่มุมกล้องนั้นผู้กำกับพยายามจะอวดความเป็น Free-Style ในมุมกล้องเต็มที่ แต่หารู้ไม่ว่ามุมกล้องเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ฉากแอ็คชั่นทั้งหลายดูแล้วไม่ค่อยรู้เรื่อง และ สนุกได้ไม่ค่อยเต็มที่นัก แถมในหลายๆฉากนั้น ผมยังมีความรู้สึกเหมือนกับว่าตอนผู้กำกับมาถ่ายหนังเรื่องนี้ได้กินเหล้ามาก่อนรึปล่าว ดูหนังออนไลน์
เพราะในหลายๆฉากของหนังค่อนข้างดู เมาๆ มาก และไม่เข้าใจที่สุดคือทำไมเวลาตัวร้ายของเรื่องภาคนี้อย่าง แคร์ริแกน โผล่ออกมาฆ่าคนทีไรนั้น แบคกราวน์ของหนังนั้นต้องกลายเป็น สีดำ ถ้าตอบว่าจะขายความแนวก็ไม่ใช่ เพราะดูแล้วไม่ได้รู้สึกว่ามันดูนะประหลาดใจ หรือ น่าสนใจตรงไหนเลยสักนิดเดียว
และที่แย่ที่สุดในหนังนั้นคือการที่ผู้กำกับพยายามจะใส่อารมณ์ขันแนวตลกร้ายเข้ามาในหนัง ที่ท้ายสุดนั้นมุขตลกเหล่านั้นแทนที่จะใส่เข้ามาทำให้คนดู ดูแล้วรู้สึก ขำกลิ้ง กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ ฝืด และ น่าเบื่อ ที่สุดของหนังเลยก็ว่าได้ และถ้าถามว่าอะไร ก็คงต้องตอบได้สั้นๆว่ามัน ‘ไม่ตลก’ เอาเสียเลย
ดาราในเรื่องจริงๆ มีฝีมือนะครับ ไม่ว่าจะ Cage, Hinds, Idris Elba หรืออดีตไฮแลนเดอร์อย่าง Christopher Lambert แต่ละคนถือว่าโอเค แต่บทไม่เปิดโอกาสให้ทำอะไรเท่าไร โดยเฉพาะพี่ Lambert นี่มาน้อยเกินคาดจริงๆ
กลับมาอีกแล้วกับโกสต์ไรเดอร์ที่คราวก่อนในปี 2007 ทำเอาแทบสิ้นชื่อไปเลยด้วยความที่ว่า”ยังขาดน้ำหนัก” สำหรับภาคนี้มีเนื้อเรื่องต่อจากคราวที่แล้ว แต่กระนั้นยังไม่ใช่จะตรงตามเนื้อเรื่องแบบถูกต้องระเบียบนิ้ว เพราะคราวนี้จอห์นนี่ เบลซ (Nicolas Cage) พระเอกเราควบคุมพลังโกสต์ไรเดอร์ไม่ได้ ประมาณว่าจะออกก็ออกไม่ตั้งใจอยากให้ออกก็ดันออกว่างั้น ผิดกับภาคแรกที่เรียนรู้ควบคุมพลังได้ดังใจ สำหรับเรื่องราวเกิดขึ้นหลังจากภาคแรกที่จอห์นนี่ต้องต่อสู้กับคำสาปตัวเอง โดยพยายามยับยั้งไม่ให้ตัวเองกลายร่างเป็นหัวกระโหลกเพลิง แต่แล้วเกิดเรื่องวุ่นวายที่ส่งผลกระทบถึงเขาพอดี ทำให้ต้องไปจัดการพวกเหล่าร้ายคนชั่วที่ต้องการตัวเด็กเดนนี่ (Fergus Riordan) ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่เพียงรู้แค่ว่าอาจถูกจับตัวไปเพื่อทำพิธีบางอย่าง เพราะคำทำนายที่ว่าเด็กชายคนนี้มีพลังซาตานที่จะทำลายโลก จนต้องงานเข้าจอห์นนี่ตามหาตัวเด็กปริศนาเพื่อนำมาแลกเปลี่ยนเงื่อนไขกับหัวหน้านักบวช (Christopher Lambert) ที่ว่าจะถอนคำสาปโกสต์ไรเดอร์ในตัวเขาออกไป จอห์นนี่จำต้องใช้พลังของเขาเอาเด็กขึ้นมาให้ได้ ทว่ายิ่งตามตัวมากขึ้นเขาก็ยิ่งรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับศัตรูของเขาที่ไม่ธรรมดา เพราะเป็นถึงซาตานที่เคยมอบพลังกับเขานั้นเอง ดูหนังฟรี
สำหรับโกสต์ไรเดอร์ในภาคนี้มีจุดมุ่งหมายอยู่สองประการคือการกลับมาของหนังไตรภาคเพื่อกู้หน้าตาตัวเองให้ออกมาดียิ่งขึ้นกับการห้วนคืนหนังฟอร์มใหญ่ของนักแสดง Nicolas Cage ที่พักหลังหันไปปั้มหนังเกรดบีจนชื่อเสียงเริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงฟอร์มต่ำเตี้ยเรี้ยดินแทน ซึ่งแน่นอนว่าการกลับมาครั้งนี้อาจจะรู้สึกเป็นการรีบู้ตมากกว่า ทว่าคนที่เล่นเป็นปีศาจกระโหลกเพลิงยังเป็นเจ้าเก่าไม่เปลี่ยนแปลง แค่เปลี่ยนลุดนิดหน่อยจากทรงจำปิดหน้าผากมาปล่อยตามแบบฉบับพระเอกหัวเถิก
ส่วนตัวผู้กำกับยังเปลี่ยนแปลงไปใช้บริการคู่หูไฟแรงสูงแห่งวงการฮอลลีวู้ดอย่าง Mark Neveldine และ Brian Taylor ซึ่งเราจะรู้จัดพวกเขาอย่างดีแบบไม่ลืมเลือนในผลงานคราวก่อนในเรื่อง Crank (2006) อันหวือหวาชวนบ้าคลั่งระห่ำ และ Gamer (2009) หนังคนเล่นเกมส์สุดเถื่อนที่ใช้คนเป็นตัวละครในเรื่อง ซึ่งในภาคนี้ที่พวกเขาได้ออกตัวบอกถึงลักษณะของ Ghost Rider: Spirit of Vengeance
ในแบบที่ดีกว่าหลายเท่าในภาคก่อน ทั้งดุดันกว่า เถื่อนกว่า และแรงกว่าภาคแรกหลายเท่าตัว ซึ่งมันเป็นอย่างที่บอกจริงๆ ด้วยลายเซ็นของคู่หูผู้กำกับได้สร้างขึ้นได้ประจักษ์อย่างที่แถลงเอาไว้แบบไม่พลาดตกบกพร่องจากฝีมือของตัวเองแม้แต่น้อย
Mark Neveldine กับ Brian Taylor ได้สร้าง Ghost Rider ภาคนี้ด้วยความเต็มเปี่ยมทางด้านเอฟเฟคที่ลงรายละเอียด CGI ชนิดเนียบเนียนอย่างที่สุด ทั้งหัวกระโหลกเพลิงที่ดูเป็นไฟลุกโชนขึ้นจริงๆผิดกับภาคแรกที่ยังลงไม่ลึกขนาดมีควันขึ้นออกมาลอยในอากาศ หรือจะมอเตอร์ไซค์ที่ดีไซน์ใหม่ให้ชวนดาร์คกว่าของเก่าจนดำทั้งคัน เวลาขับมอเตอร์ไซน์ตอนแปลงร่างเป็นโกสต์ไรเดอร์แล้วนั้นชวนให้รู้สึกถึงพวกไม่เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ในแต่ละฉากขับทีนี่แบบว่าโลกร้อนเพราะรถของมันชัวร์ ควันตามตัวมาเป็นโขมง ไม่บอกก็รู้ว่าดาร์คแค่ไหน ยอมรับว่าเรื่องเอฟเฟคทำได้ดีเกินคาดจริงๆ
โดยเฉพาะฉากขับรถเครนที่เปี่ยมอลังการบ้าพลัง แต่ที่ขาดไม่ได้เลยคืออาการเมาค้างที่เป็นลายเซ็นของผู้กำกับที่ต้องมุมกล้องไม่นิ่ง เดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออก เหวี่ยงไปมา ชวนปวดหัวหน้ามืดตาลาย ออกมาให้ผู้ชมได้ชมกันอยู่แทบตลอดทั้งเรื่อง สมราคาคุยในเรื่องความบ้าจริงๆ ทว่าข้อเสียเรื่องมุมกล้องกลับมีปัญหาเฉพาะคนส่วนใหญ่ที่รับไม่ค่อยไหว เพราะชวนเวียนหัวเนื่องจากมันเหวี่ยงแล้วเหวี่ยงอีกจนอาจไม่พอใจจนรำคาญก็มี ฉะนั้นเรื่องของกล้องก็แล้วแต่จะชอบล่ะนะ เว็บดูหนัง
รีวิว GHOST RIDER SPIRIT OF VENGEANCE
แต่โดยส่วนชอบเรื่องมุมกล้องแบบเหวี่ยงอย่างนี้ด้วยเหตุผลที่ว่ามันชวนลุ้นมันส์ดี แถมยังรู้สึกสะใจเวลาอยู่ใกล้ๆตัวละครที่ปล่อยของกันแบบสุดๆ โดยเฉพาะสีหน้าการแสดงของ Nicolas Cage ในฉากแปลงร่างที่เดี๋ยวค่อยกลายร่างทีละนิด ซึ่งในจังหวะนั้นได้ภาพที่โฟกัสเฉพาะหน้าตาเอาไว้ที่กำลังปล่อยอารมณ์สุดเหวี่ยง ทั้งร้อง ทั้งว้าก หัวเราะ ยังกับคนบ้าเลยมิปาน ก็ไม่แปลกหรอกว่าทำไมต้องแสดงได้เถื่อนขนาดนั้น
เพราะเพื่อเรียกความสนใจให้กลับมาอีกหนหนึ่งเช่นที่ตัวเองได้ทิ้งความบ้าโรคจิตใน Face/Off (1997) นอกจากจะมีพระเอกของเราที่อยากกลับมาบ้างแล้วยังมีนักแสดงอยู่คนหนึ่งที่เล่นเป็นนักบวช คือ Christopher Lambert ที่รู้จักจากบทเทพเจ้าสายตาลอร์ด เรย์เดนในหนังต่อสู้มันส์ได้ใจใน Mortal Kombat (1995) ในทางนักแสดงอื่นๆยังคงมาตรฐานตามบทบาทของตัวเองต่อไปเรื่อยๆไม่ว่ากัน
เรื่องราวของฮีโร่สุดดาร์คไม่จบที่การมีเอฟเฟคยอดเยี่ยมเพียงเดียวเท่านั้นที่น่าตื่นตา เพราะยังเรื่องของดนตรีร็อคมาประกอบที่บางคนสงสัยว่ามันเข้าจังหวะตรงไหน แต่โดยส่วนตัวกลับชอบไม่น้อยที่ชวนรู้สึกปลดปล่อยตัวเอง แม้จะไม่ถึงขั้นพาเร้าใจในบางมุมมองก็ตาม นี่แหละข้อดีในภาคนี้ที่แตกต่างออกไปจากภาคแรกที่เหมือนจะพัฒนามาไม่น้อยทีเดียว ทว่าข้อเสียเป็นปัญหาใหญ่ยักษ์ระดับพาหนังเสียไปเลย เพราะเอาแต่เติมความมันส์เอย เอฟเฟคเอย จนลืมเนื้อเรื่องที่ลงเอยดำเนินได้ง๊ายง่ายไม่ต่างอะไรกับภาคแรก
ไม่สิต้องบอกว่าผลลัพธ์ออกมาง่ายกว่าอีก ยิ่งฉากต่อสู้กันในท้ายเรื่องคล้ายจะมามันส์ตัวต่อตัวได้ดีแล้วเชียว ดันกลายเป็นว่า”อ้าวตายแล้ว” หรือจะตอนจัดการซาตานที่แบบว่าปอกกล้วยเข้าปากชัดๆ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมซาตานถึงกระจอกขนาดนั้นได้ทั้งที่ตัวเองมอบพลังให้แท้ๆ ถ้าถามว่าแอ็คชั่นในส่วนฉากอื่นๆก็ว่าง่ายอีกแหละ ไม่มีอะไรที่เร้าใจตื่นตาหรือบอกว่าสุดมันส์ได้เลย ที่ดีคือเรื่องของเอฟเฟคที่ลงรายละเอียดได้แม่น กับดนตรีประกอบที่ช่วยเอามันส์ขึ้นได้บ้าง เอาเป็นว่าคนดีไซน์ฉากแอ็คชั่นคงต้องปรับปรุงอย่างหนักเลยล่ะ
Ghost Rider: Spirit of Vengeance มีจุดที่แปลกกว่าภาคแรกคือความเมาของผู้กำกับที่ฟรีสไตล์ตามใจตัวเอง ซึ่งคงรู้แล้วว่ามีอะไรบ้างนับแต่เรื่องมุมกล้อง ตลอดจนทัศนะวิสัยการเล่าเรื่องอันวาดเหวี่ยง แต่ที่คิดว่าเรื่องนี้เป็นหนังที่ค่อนข้างน่าผิดหวังคือการเอาความตายตัวมาใช่โดยไม่คิดมาก แล้วจัดหนักในสิ่งที่คิดว่าโดดเด่นมากที่สุด ซึ่งคือเทคนิค CGI นั้นเองสำหรับเรื่องนี้ สังเกตได้ว่าผู้กำกับคู่หูสองท่านนี้มีแต่หนังว่านอนสอนง่าย จะมีที่โดดเด่นคือการเล่าด้วยเอกลักษณ์ของตัวเองตลอดจนความสนุกอันหวือหวา วิธีนี้อาจทำให้ภาพพจน์ของหนังสนุกก็จริง ทว่าใช้ไม่ได้เหมือนกับเรื่อง Crank เสมอไป
ดูได้จากปมประเด็นที่ติดกับตัวละครมาด้วย ถ้าเป็นแอ็คชั่นบ้าหลุดโลกแบบไม่เกรงใจก่อนหน้านี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่ม เพราะรู้ว่านอกจากยิงกันเพื่อมันส์แล้ว ด้านสาระถือเป็นเรื่องที่ไม่ต้องพูดถึงในโลกความรุนแรง ทว่าตัวหนังลงได้ตื้นอย่างมากเกี่ยวกับตัวละครทั้งหลายจนเป็นเพียงตัวประกอบอันไม่น่าจดจำนอกจากใบหน้ากับชื่อ น่าเสียดายที่วัตถุดิบชั้นดีอย่างเรื่องนี้ยังถูกเมินเฉยจากการเล่าอันแสนเรียบง่าย นี่ถ้าเอาเข้าจริงมันจะเป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจอย่างมากในการตีความในหลายๆแง่กับความชั่ว ความดี สรรค์บนดิน นรกบนฟ้า รวมถึงสามารถนำมาเปรียบเทียบกับแนวปรัชญาได้อย่างสบายๆ
ด้วยความที่ว่ามีกึ่งธรรมดา(ยอดแย่)กึ่งสุดยอด(ทางภาพ CGI)คงจะตื่นตากันไม่น้อยที่เห็นควันดำกับรถที่เป็นตอตะโกอย่างนั้น และแน่นอนว่าถ้าใครรับรู้ถึงฮีโร่ที่สุดยอดในขณะนี้อย่างแบทแมนของผู้กำกับ Christopher Nolan แล้วนับว่ามีความทะเยอทะยานในการเรียบเรียงเนื้อหาที่ลึกซึ้งอย่างมาก และโกสต์ไรเดอร์ควรมีภาพลักษณ์แบบนั้นบ้างเช่นเดียวกัน ด้วยความที่ว่าภาคนี้มีเนื้อหาเล่าถึงปมของจอห์นนี่ที่ไม่อยากได้พลังไรเดอร์มาครอบครองอีกต่อไปจนเป็นเหตุให้ต้องหนีไปอยู่ในยุโรปตะวันออก เพราะเอางานเอฟเฟคมากไป สุดท้ายเนื้อหาแทบโดนทิ้งลงขยะเกือบหมด ประเด็นเรื่องความดี ความชั่วที่ตั้งมาในต้นเรื่องก็หายไปอย่างไม่มีเยื่อใยปลิ้วไปกับสายลม ถ้าเปรียบดังกระดาษคงไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อนำมาเผาจนเหลือแต่ธุลีที่ไร้ประโยชน์ ฉะนั้นพล็อตที่กล่าวออกมากลายเป็นสูตรสำเร็จปราศจากเนื้อหาสาระเพิ่มเติม ตอนนี้คงได้แต่หวังต่อไปว่าฮีโร่ดาร์คโกสต์ไรเดอร์จะกลับมาลุกโชนอีกครั้งได้หรือเปล่า ซึ่งนี่ก็สองครั้งแล้วที่ยังน่าถูกใจตามที่ต้องการเลย เว้นแต่เอฟเฟคที่ดีแน่นอน เว็บดูหนังฟรี