รีวิวหนังWatchmen ศึกซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์มหากาฬ
มาอีกแล้วกับการรีวิวหนังสุดมัน วันนี้ผมจะมารีวิวหนังเรื่อง Watchmen ศึกซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์มหากาฬ แค่เพียงเห็นตัวอย่างหนัง หลายๆ ท่านก็พอจะเดาออกแล้วว่า Watchmen นั้นจัดอยู่ในกลุ่มของแอนตี้-ฮีโร่อย่างแน่นอน!! . . หากลองไล่เลียงจากเครดิตงานหนังเก่าๆ ที่สร้างจากต้นฉบับนิยายภาพของอลัน มัวร์ ทั้งที่ขึ้นจออย่างได้ใจผู้ชม และ โดนโห่ ชนิดชวนผิดหวัง นับจาก From Hell , The League of Extraordinary Gentlemen หรือกระทั่ง V For Vendetta ของพี่น้องวาโชสกี้ (อำนวยการสร้าง) แล้วนำมาเป็นบรรทัดฐานละก้อ อารมณ์ และ ความรู้สึกของงานใหม่ชิ้นล่าอย่าง Watchmen
ก็คงต้องบอกว่าแทบจะต่างกันชนิดสุดขั้วเลยก็ว่าได้ เพราะแม้จะออกมาพบผู้ชมด้วยรูปลักษณ์ที่ชวนให้นึกถึงกลุ่มฮีโร่ที่สู้กันเป็นทีมแบบ เดียวกับ X-Men แล้ว แต่ก็ใช่ว่า Watchmen จะเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ ในแบบเดียวกับที่เคยๆ ดูกันมาซะทีไหน!? แม้เครดิตของผู้กำกับแซ็ค สไนเดอร์ดูจะเป็นคนทำหนังตลาด เน้นความบันเทิงที่ทำหนังได้สนุก และ “ถึง” คนหนึ่ง ไม่ว่าจะมองจากงานรีเมคอย่าง Dawn of the Dead หรือว่า 300 ก็ตาม ได้ยินกิติศัพท์ของมันมานานถึงเรื่องที่เกี่ยวกับ การที่มันเป็นหนังฮีโร่ ในแนวทางสายดาร์คอย่างแท้จริง ดูหนังใหม่
ผมชอบในส่วนของการเป็นหนังที่ชำแหละถึงตัวตนของการเป็นฮีโร่ ผดุงความยุติธรรม ช่วยเหลือประชาชน …เมื่อมันถูกเล่ามาอีกรูปแบบหนึ่งท่ไม่ใช่ในทางฮีโร่ทั่วไป ฮีโร่ในเรื่องนี้ทั้งดิบเถื่อน โหดเหี้ยม แทบจะไม่แคร์อะไรทั้งนั้น และต้องบอกก่อนเลยครับว่า ฮีโร่ในเรื่องนี้ไม่ได้จะเน้นในแนวทางเตะต่อย ด้วยอาวุธล้ำๆ บินโฉบเฉี่ยวไปมา ระเบิดตูมตาม หรือมีฉากแอ๊คชั่นถล่มเมืองแบบที่เรื่องอื่นๆ ทำกัน โอเค ในเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าฉากแอ๊คชั่นจะไม่มีเลย มีครับ เพียงแต่หนังไม่ได้เน้นความเว่อร์อะไรมากเกินไป หนังเองก็เน้นไปที่การเล่าเรื่องถึงมุมกลับของฮีโร่บ้างครับ มันเป็นฮีโร่ที่สมจริงนะผมว่า เนื้อหาจริงจัง
นำแสดงโดย มาลีน เอเคอร์แมน รับบทเป็น ลอว์รี่ จูปิเตอร์ บิลลี่ ครูดรัพ รับบทเป็น ดร.แมนแฮตตัน (มนุษย์สีฟ้า) แมทธิว กู๊ด รับบทเป็น เอเดรียน ไวดท์ (มนุษย์ที่ฉลาดที่สุด) แจ็คกี้ เอิร์ล เฮลีย์ รับบทเป็น รอร์แชค (ชายหน้ากากผ้า) เจฟฟรีย์ ดีน มอร์แกน รับบทเป็น เอ็ดเวิร์ด เบลค (คอมเมเดียน) กำกับโดย แซ็ค สไนเดอร์ เข้าฉายเมื่อปี ค.ศ 2009 ดูหนังฟรี
รีวิวหนังWatchmen ศึกซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์มหากาฬ เนื้อเรื่อง/เรื่องย่อ
นอีกโลกหนึ่งของสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มต้นในช่วงปี ค.ศ. 1939 ระหว่างการหายไปของสงคราม ได้มีทีมของนักสู้อาชญากรรมที่แต่งตัวประหลาดได้ถูกก่อตั้งขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า ‘Minutemen’ ซึ่งพวกเขาได้ออกล่าและปราบเหล่าอาชญากรไปทั่วประเทศทั้งแต่นั้น โดยที่การมีตัวตนของพวกเขาทำให้ทุกอย่างบนโลกเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด และต่อมาในปี ค.ศ. 1959
หลังจากการตายของ ดร. “Jon Osterman” เนื่องจากอุบัติเหตุเครื่องกำเนิดสนามภายใน นั่นทำให้เขาได้สร้างร่างตัวเองขึ้นมาใหม่ ให้เหมือนกับพระเจ้าโดยนั่นทำให้เขาได้ชื่อใหม่คือ “Doctor Manhattan” โดยทางรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ใช้พลังของเขาเพื่อที่จะชนสงครามเวียดนาม และได้กลยุทธ์วิถีที่เหนือกว่า สหภาพโซเวียดอย่างเห็นได้ชัด
โดยในปี ค.ศ. 1985 พวกเขาก็ได้เปลี่ยนชื่อตัวเองใหม่ให้กลายเป็น “Watchmen” ซึ่งกลายมาเป็นทีมของฮีโร่ แต่ว่ามันก็ถูกยุบไปในที่สุดเพราะเนื่องจากกฎหมายที่ทำให้ศาลเตี้ยอย่างพวกเขานั่นเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทำให้สมาชิกในทีมอย่าง “Daniel Dreiberg” พร้อมกับ “Laurie Jupiter” ได้ถอนตัวออกมาจากทีมโดยที่ไม่มีทางเลือก ซึ่งทางของ “Doctor Manhattan” กับ “The Comedian” ก็ได้กลายเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล และ “Rorschach” หนึ่งในทีมก็ยังปฏิบัติหน้าของเขาต่อไปถึงแม้มันจะผิดกฎหมายของประเทศก็ตาม ดูหนังใหม่
โดย “Rorschach” ได้ทำการ ตามสืบคดีฆาตกรรมของ “Edward Blake” ซึ่งต่อมาเขาได้รู้ว่าชายคนนั้นคือ “The Comedian” โดยเขาได้ตัดสินใจที่จะสันนิษฐานว่า กำลังมีคนที่จะจัดการกับทีมฮีโร่ของเขาซึ่งนั่นทำให้เขาจึงได้ไปบอกสหายของเขาโดยแต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกันกับเรื่องนี้ ซึ่งทางของ “Doctor Manhattan” เมินเขา โดยที “Dreiberg” สงสัยเรื่องนั้น และทางของทีมของเขาที่ได้กลายเป็นเศรษฐี “Adrian Veidt” ไม่สนใจเช่นเดียวกัน
ซึ่งต่อมา “Doctor Manhattan” ก็ได้ย้ายตัวเองไปอยู่ที่ดาวอังคาร เพราะเนื่องจากการที่เขาทำให้ผู้คนหลายคนที่อยู่ใกล้ได้ติดโรคมะเร็งที่ร้ายแรง โดยนั่นเป็นโอกาศให้กับ สหภาพโซเวียด ได้ทำการบุกและยึดอัฟกานิสถานได้อย่างสำเร็จ และความสงสัยของ “Rorschach” ก็เป็นความจริงเมื่อ “Veidt” ได้รอดออกมาจากการลอบสังหารได้สำเร็จ และทีมฮีโร่ของพวกเขาจะสามารถจัดการกับมือลอบสังหารนั่นได้หรือไม่ ดูหนังฟรี
ความรู้สึกหลังดูหนังWatchmen ศึกซูเปอร์ฮีโร่พันธุ์มหากาฬ
พอกลุ่ม Watchmen ทำอะไรที่มีใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา เช่น ตั้งศาลเตี้ยลงโทษเอง ยิงคนบริสุทธิ์ ยิงปืนใส่ประชาชนที่ประท้วง สังคมจึงตั้งคำถามว่า “ในขณะที่เหล่าซูเปอร์ฮีโร่ดูแลประชาชน แล้วใครเป็นผู้ดูแลและควบคุมซูเปอร์ฮีโร่เหล่านี้อีกที” มีการตั้งคำถามมากมายจนเกิดเป็นความขัดแย้งรุนแรงทางสังคมระหว่าง เหล่าผู้พิทักษ์ (Watchmen) และประชาชน
“การเขียนกฎหมาย” ที่ไม่เอื้อกับผู้ใช้กฎหมาย ทำให้ผู้รักษากฎหมายต้องใช้ทางนอกกฎหมายมาแก้ปัญหา เพื่อรักษากฎหมาย จึงเกิดการตั้งคำถามที่ว่า ถ้าผู้รักษากฎหมายอยู่นอกกฎหมายแล้วใครจะควมคุมคนกลุ่มนี้อีกที ดังกล่าวด้านบน
เป็นเรื่องของ “การเมืองระหว่างประเทศ” เพราะ ดร.แมนแฮตตัน ในเรื่องเปรียบเสมือน “นิวเคลียร์” เพราะเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในโลก ใครมีไว้ในครอบครองก็จะมีอำนาจในการต่อรองกับประเทศต่าง ๆ สังเกตได้จาก โซเวียตรู้ว่าสหรัฐอเมริกามี ดร.แมนแฮตตันอยู่ จะไม่กล้าทำสงครามด้วย แต่พอ ดร.แมนแฮตตัน หายไป โซเวียตก็เริ่มเปิดฉากทำสงครามกับสหรัฐอเมริกานั่นเอง
สุดท้ายแล้ว ถึงแม้ ดร.แมนแฮตตัน จะมีพลังมากเพียงใด ก็ไม่สามารถเปลี่ยนจิตใจของมนุษย์ได้ เพราะมนุษย์ มีทั้ง ความรัก โลภ โกรธ หลง จึงต่างต้องการเป็นเจ้าของ และมีอำนาจจึงเป็นเรื่องยากที่จะแก้ไขได้อย่างถาวร
นับว่าเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่น่าสนใจ และเสียดสีสังคมอีกเรื่องนึงเลยทีเดียว แนะนำสำหรับคนที่สนใจประเด็นเหล่านี้ ก็สามารถติดตามในภาพยนตร์เรื่องนี้ต่อได้เลยค่ะ ทั้งเนื้อเรื่องสนุกและฉากสวย แต่เรื่องนี้เนื้อหาค่อนข้างรุนแรงนะคะ แนะนำเหมาะสำหรับผู้ที่อายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไปค่ะ เด็ก ๆ ไม่ควรดูนะจ้า ดูรีวิวหนังสุดมันได้ที่นี่
หากมองบนบรรทัดฐาน โดยยกตนเทียบกับความดี หรือตัวแทนของความดีแล้วไซร้ คงจะอันตรายมิใช่น้อย เพราะหากเราคิดว่าเราคือความดี หรือกระทำดีแล้ว สิ่งต่ำช้าสามานย์แค่ไหน เราก็ทำได้ค่ะ หากคิดว่านั่นเป็นการทำดี . . และหากมองจากเหตุผลข้ออ้างสามัญถึงสันติภาพของมวลมนุษย์แล้ว กลับยิ่งหนักยิ่งกว่า เพราะความดีที่ว่าก็อาจจะเป็นมูลเหตุปัจจัยให้เรากระทำสิ่งที่ชั่วร้ายได้เช่นกัน หากเชื่อ (ฝังหัว) ว่านั่นคือการะทำในนามของความดี
แต่จุดที่หนังทำได้ดีก็คือ มันเป็นหนังฮีโร่สีเทาๆ ที่แสดงให้เห็นว่า จิตใจคนมันหลากหลายและยากที่จะทำความเข้าใจ คือแม้แต่ฮีโร่เองก็ไม่ใช่เป็นคนดี 100% และถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนดี 100% ก็ใช่ว่าจะเป็นฮีโร่ไม่ได้ สิ่งที่แต่ละคนตัดสินใจอาจจะไม่ได้เหมือนที่เราคาดหวังไว้ แต่การตัดสินใจนั้นอาจมีเบื้องหลังอีกมากมายที่เราอาจจะไม่เข้าใจอยู่ก็ได้ มันก็ขึ้นอยู่กับเราว่า เราจะเลือกตัดสินคนจากการมองที่การตัดสินใจตรงนั้น หรือมองผลลัพธ์ของการตัดสินใจกันแน่