รีวิวหนังTHOR RAGNAROKศึกอวสานเทพเจ้า
ได้เวลาแล้วคับผมพบกับผมและการรีวิวหนังสุดมัน วันนี้ผมจะมารีวิวหนังเรื่อง THOR RAGNAROK ศึกอวสานเทพเจ้า แล้วจักรวาลมาร์เวลก็ถึงกาลกลับมาเล่าเรื่องของเทพเจ้าอีกครั้ง หลังจากเล่าไปสองครา เริ่มอยากจะหาอะไรใหม่ใส่ลงในหนังที่คนเริ่มคุ้นเคย เริ่มด้วยการเปลี่ยนทรงผมของเทพเจ้าสายฟ้า เปลี่ยนผู้กำกับเป็นคนใหม่ และปรับหลายสิ่งที่ทำให้ได้หนังธอร์ในกลิ่นใหม่ๆ กลายมาเป็น ‘Thor Ragnarok’ ถ้าเรียกเป็นชื่อไทยก็ได้ว่า ‘ศึกอวสานเทพเจ้า’ ที่เราจะได้ดูกันในวันนี้
ธอร์ภาคนี้เปลี่ยนมือมาเป็นทีของ Taika Waititi ผกก. ที่มีผลงานอย่าง ‘Hunt for the Wilderpeople’ ได้ลองใช้ความสามารถและเอกลักษณ์ของตัวเองเพื่อสร้างสรรค์หนังซูเปอร์ฮีโร่ที่แตกต่างไปจากสองภาคก่อนดูบ้าง ถึงเวลาปิดไตรภาคของภาพยนตร์ฮีโร่มาร์เวลสายรั่วอย่าง THOR กันแล้วนะครับ หนังเดินทางถึงภาคที่ 3 แล้ว โดยสองภาคแรกสร้างรายได้และความประทับใจไปทั่วโลก กับลีลามาดกวนของเทพเจ้าสายฟ้าที่มีค้อนคู่ใจไปกัน และในภาคสุดท้ายเขากลับมาพร้อมความมันส์ที่มากกว่าเก่า ดูหนังใหม่
หนังเล่าถึง ธอร์ (Chris Hemsworth) ที่เดินทางตระเวนปราบพวกปิศาจร้ายไปทั่วแกแลกซี่ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ต้องพบกับเฮลา (Cate Blanchett) ศัตรูคนใหม่ที่มีพลังร้ายกาจจนสามารถทำลายค้อนโยเนียที่ทรงพลังของธอร์เป็นผุยผงได้ในพริบตาเดียว ธอร์ต้องรีบกลับแอสการ์ดเพื่อปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของเขาให้ไวที่สุด แต่เขากลับถูกส่งไปยังดาวประหลาด ซึ่งมีการแข่งขันต่อสู้ที่เรียกว่ากลาดิเอเตอร์ทำให้เขาพบเพื่อนทีมอเวนเจอร์อย่างฮัลค์ อีกครั้ง
ผมเชื่อว่าการดูหนังที่ดีที่สุดคือการไปโดยไม่ชมตัวอย่างหนังมาก่อน เพราะบางครั้งหนังหลายเรื่องนำฉากที่เด็ด ๆ มาไว้ในหนังตัวอย่างจนหมดแล้ว แม้ว่าธอร์ภาคแรกจะไม่เอามันส์มาใส่ในหนังตัวอย่าง และไปเซอร์ไพรส์คนดูด้วยหนังเต็มก็ตาม แต่ผมก็ตัดสินใจไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยสิ่งยั่วเย้าจากPosterเท่านั้น ไม่รู้พล็อตเรื่องหรือว่าตัวร้ายเป็นใครอะไรยังไงเลย เมื่อถึงเวลาไปชมมันทำให้ผมตื่นเต้นไม่ใช่น้อยเลยครับ
เมื่อดูจบผมขอบอกสั้น ๆ ได้เพียงคำเดียวว่านี่คือหนังของธอร์ที่ดีที่สุดในบรรดาสามภาคครับ ถ้ามองกันถึงไทม์ไลน์ของจักรวาลมาร์เวลตามสูตร ธอร์ภาคนี้จะมีเนื้อเรื่องต่อจาก The Avengers : Age of Ultron นั่นเอง ในภาคแรกของหนังจะเล่าเรื่องของคุณสมบัติของการครองราชย์และการตกหลุมรักสาวที่โลกมนุษย์ , ภาคสองจะว่าด้วยเรื่องการทำสงครามที่ธีมหนังจะออกแนวดาร์คซะส่วนมาก ส่วนภาคสุดท้ายจะเล่าถึงการล่มสลายของแอสการ์ด ดูหนังฟรี
รีวิวหนังTHOR RAGNAROKศึกอวสานเทพเจ้า เรื่อย่อ/เนื้อเรื่อง
เทพเจ้าสายฟ้าธอร์ (Chris Hemsworth) ในภาคนี้ เขาจะต้องผจญกับเหตุสงครามยักษ์ที่เคยถูกทำนายทายทักเอาไว้แต่ชาติปางไหนไม่ทราบ มันจะกลายเป็นสงครามที่ทำลายแอสการ์ดให้ย่อยยับ ทว่าก่อนหน้านั้น เขาถูกเนรเทศไปยังสุดขอบจักรวาล เมื่อได้รู้ว่าสงครามตามคำทำนายมันได้เริ่มต้นขึ้นไปแล้ว เขาก็ต้องหาทางกลับมายังแอสการ์ดเพื่อยับยั้งความสูญเสียนั้นให้ได้
แต่ก็ปรากฏว่า เขาไม่อาจได้กลับแอสการ์ด ธอร์ได้พบว่า โลกิ (Tom Hiddleston) พี่น้องบุญธรรมผู้แปลงเป็นเทพโอดินเพื่อครอบครองแอสการ์ด ขณะที่ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็ต้องพบกับการโจมตีของเฮล่า (Cate Blanchett) จนเขาต้องสูญเสียค้อนคู่กายไป นี่คงเป็นครั้งแรกของธอร์ที่ต้องต่อสู้โดยไร้ค้อน
ไม่ทันไร ธอร์ก็ต้องไปผจญภัยบนดาวขยะ ที่นั่นเขาต้องต่อสู้กลางสนามประลองในลักษณะแกลดิเอเตอร์ กับคู่ปรับที่เขาคุ้นเคย แบนเนอร์ หรือยักษ์เขียว ฮัลค์ (Mark Ruffalo) นั่นเอง
Thor: Ragnarok ศึกอวสานเทพเจ้า เป็นภาพยนตร์ภาคที่ 3 ของ Thor เทพเจ้าสายฟ้า ในภาคนี้ธอร์ (รับบทโดย คริส เฮมส์เวิร์ธ) ถูกเนรเทศไปยังสุดขอบจักรวาล กลายเป็นนักโทษโดยปราศจากค้อนคู่ใจ เขาจะต้องหาทางกลับไปยังแอสการ์ดเพื่อหยุดยั้งมหาสงครามที่จะทำลายล้างดินแดนแห่งเทพ และ จบสิ้นอารยธรรมแห่งแอสการ์ด
ภายใต้เงื้อมมือของวายร้ายคนใหม่ที่ทรงพลังและโหดเหี้ยมที่สุด เฮล่า (รับบทโดย เคท แบลนเชตต์) แต่ก่อนอื่นเขาจะต้องเอาชีวิตรอดจากการต่อสู้แบบฉบับกลาดิเอเตอร์ให้ได้เสียก่อน ซึ่งคู่ต่อสู้ในคราวนี้เป็นถึงหนึ่งในทีมอเวนเจอร์ที่เขาคุ้นเคย…เดอะ ฮัลค์! ดูหนังใหม่
ความรู้สึกหลังดูหนังTHOR RAGNAROKศึกอวสานเทพเจ้า
หลังธอร์ภาคแรกดูไม่มีจุดเด่นอะไรมากนอกจากความเป็นภาคกำเนิดเทพเจ้าสายฟ้า ภาคถัดมา ‘Thor: The Dark World’ จึงจัดเต็มความบันเทิงมากขึ้นด้วยฉากบู๊ฉวัดเฉวียนและการวาร์ปไปมา จนเรียกศรัทธาคนดูขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง มาคราวนี้ Marvel ผ่าตัดใหม่อีกครั้งด้วยการเพิ่มสีสันให้กับธอร์ผู้เริ่มเบื่อหน่ายกับบทเดิมๆ
ด้วยลีลาส่วนตัวของผู้กำกับฯ ที่นำความด้นสดและความตลกโปกฮาคาเฟ่เข้ามาใส่หนังเทพเจ้าหน้าหล่อหุ่นล่ำ ทำให้กลายเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เต็มไปด้วยมุกตลกยียวนกวนประสาทไม่เว้นระยะ แม้ช่วงแรก มุกอาจจะยังไม่ปังเท่าไหร่ ไม่ถึงกับชวนขำกลิ้งได้มากนัก พอจะทำให้หึๆ ได้บ้าง
ไม่เพียงเท่านั้น ธอร์ภาคนี้ยังแต่งเติมสีสันให้ดูบันเทิงยิ่งกว่าเดิมด้วยการใส่ลีลาการเล่าที่มีสีสันยิ่งกว่าเดิม เราจะได้เห็นธอร์ผู้ค้นพบการต่อสู้แบบใหม่เมื่อเขาต้องไร้ค้อนคู่กาย เล่าเรื่องด้วยการให้พี่น้องที่ชอบขัดขากันต้องมาจับมือสู้กับวายร้ายที่มีพลังหญิงสุดแกร่ง ผสานไปกับการใช้ดนตรีและเพลงประกอบที่เลือกเฟ้นมาให้ดูน่าตื่นเต้นแบบวัยรุ่นกว่าเคย ด้วยดนตรีอิเล็กทรอนิกส์บ้าง บางช่วงต้องการความรุนแรงแบบเฟี้ยวๆ บ้าง ก็จะใช้ดนตรีร็อกมาเสริม
ในภาคนี้ เราจะได้พบกับตัวละครวายร้ายเพศหญิงตัวแรกในจักรวาล MCU ราชินีเฮล่า โดยข่นแม่เคท ผู้สตรองที่สุดในปฐพี ชายชาตรีอย่างธอร์ยังไม่รู้จะจัดการให้อยู่หมัดยังไง
แถมท่วงท่าการเดินยังกับอยู่บนแคทวอล์ก น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก แม้เราจะตะหงิดๆ กับการที่กลับมาได้ทั้งที่เคยถูกเนรเทศไปได้แสนนานจนสองภาคก่อนไม่เคยถูกพูดถึงได้เลยก็ตาม แต่บทหนังก็พยายามจะเอาตัวรอดไปได้ คนดูคงไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้ ในภาคนี้ เธอเลือกสมุนมือขวาได้แปลกประหลาดโลกมาก และผู้รับหน้าที่นั่นคือ สเกิร์จ (Karl Urban) ส่วนจะรับไว้ด้วยเหตุผลใดก็ขอเชิญไปติดตามกันเอาเอง
ตัวละครหญิงอีกตัว เป็นฝ่ายดี คือเป็นวัลคีรี่ (Tessa Thompson) สาวหุ่นเท่ขี้เมาที่ธอร์ไปเจอเข้าตอนพลัดตกลงไปบนดาวขยะนั่น จนต้องกลายเป็นนักสู้ในอาณัติของเธอนั่นน่ะแหละ นอกจากตัวละครหญิงแล้ว ก็ยังมีตัวละครชายตัวใหม่ๆ ที่มาสร้างสีสันให้กับหนังด้วยเช่นกัน ที่ชัดสุด ก็คือแกรนด์มาสเตอร์ (Jeff Goldblum) ผู้ซึ่งเปรียบเป็นเจ้าผู้ครองนครขยะแห่งนั้นที่ค่อนข้างเล่นได้ยียวนกวนประสาทได้ประมาณหนึ่ง ดูหนังฟรี
ด้วยการจัดวางเรื่องราวที่ไม่ทิ้งกลิ่นความเป็นมาร์เวล เน้นให้ความบันเทิงกับผู้ชมมากกว่าจะเน้นปรัชญาหรือความเคร่งเครียดจริงจัง พล็อตจึงไม่จำเป็นต้องสมเหตุไปเสียทุกอย่าง ขอให้เอื้อกับการเซอร์ไพรซ์ผู้ชม เอื้อกับการที่บางตัวจะต้องออกมาในเวลาที่ผู้ชมคาดหวัง และแน่นอน มันต้องเป็นฉากต่อสู้และแอคชั่นที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกสนุกตามไปได้
หนังพยายามเล่นมุกล้อเลียนตัวเองอยู่หลายที แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดกว่า คือการหยิบเอาหนังเรื่องอื่นมายำรวม สังเกตได้จากการที่ตัวเองคิดถึงหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้ระหว่างดู ดั่งรู้ว่าฉากไหนที่คนชอบจากหนังเรื่องไหน มันคงไม่แปลกหรอกที่เราอาจจะเห็นความเป็น Gladiator, Hunger Games, 300 แม้แต่ Harry Potter ในหนังเรื่องนี้
เราจะได้เห็นความกวนตีนที่มีอยู่ในทุกตัวละคร โดยเฉพาะธอร์ที่มีมาดเข้มนิ่งมาโดยตลอด แต่เขาก็ยังดูรับส่งมุกตลกได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะกับทั้งพี่ฮัลค์ตัวเขียว หรือกับโลกิพี่น้องไม้เบื่อไม้เมาของตัวเอง แล้วก็ยังพบเห็นความกวนตีนในตัวละครอีกหลายตัว
โดยภาพรวมก็เหมือนหนังจะยังคงมีการหยิบของหลายสิ่งมายำรวม ซึ่งใกล้เคียงกับภาค ‘The Dark World’ หากแต่ภาคนี้ เพิ่มสีสันให้จัดจ้านขึ้น เพิ่มความตลกในบทสนทนาเข้าไปตลอดเรื่อง ใส่ดนตรีประกอบให้มันเฟี้ยวฟ้าวยิ่งขึ้น ทำทุกอย่างเพื่อให้คนดูบันเทิงยิ่งขึ้น
ซึ่งก็นับเป็นหนทางใหม่ที่ไม่เลว
แม้มุกตลกช่วงครึ่งแรกของหนังจะฮาบ้างแป้กบ้าง (สำหรับผม) แต่ก็มองครึ่งหลังนั่นฮาและเข้าท่ามากทีเดียว เพราะมันทำให้ขำแรงแบบต่อเนื่อง แม้พล็อตมันจะดูมาร์เวลจ๋า ไม่มีอะไรซับซ้อนหรือเกินความคาดหวัง มีตัวละครที่เข้ามาเซอร์ไพรซ์แต่ก็ไม่ได้มีหลายตัวนัก และตามเคยก็คือ มีของแถมเป็นปกติ ฉากแถม 2 จุดที่กลางและท้าย End Credit ดูรีวิวหนังสุดมันได้ที่นี่
ชื่อภาพยนตร์: Thor: Ragnarok / ศึกอวสานเทพเจ้า
ผู้กำกับภาพยนตร์: Taika Waititi
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Eric Pearson, Craig Kyle, Christopher Yost,
นักแสดงนำ: Chris Hemsworth, Tom Hiddleston, Cate Blanchett, Idris Elba, Jeff Goldblum, Tessa Thompson, Karl Urban, Mark Ruffalo, Anthony Hopkins, Benedict Cumberbatch, Taika Waititi
ดนตรีประกอบ: Mark Mothersbaugh
ความยาว: 130 นาที
แนว/ประเภท: Action, Adventure, Comedy, Sci-Fi
อัตราส่วนภาพ: 2.35 : 1
ปี: 2017
เรท: ไทย/, MPAA/PG-13
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 2 พฤศจิกายน 2017
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Marvel Entertainment, Marvel Studios, Walt Disney Pictures