รีวิวหนังMorbius มอร์เบียส
มาเจอกันอีกแล้ว กับผมและการรีวิวหนังสุดมัน วันนี้ผมจะมารีวิวหนังเรื่อง Morbius มอร์เบียส ในช่วงเวลาประมาณเดือนมีนาคม เมษายน ไปจนถึงพฤษภาคม เป็นช่วงเวลาเทศกาลหนังก็ว่าได้นะครับ เพราะว่าทุกอาทิตย์เนี่ยจะมีหนังดี ๆ เข้าให้ชมค่อนข้างจะต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ในช่วงเมษายนต่อพฤษภาคม จะเป็นช่วงที่หนังบล็อกบัสเตอร์เข้าฉายค่อนข้างเยอะ ฉะนั้นจะเป็นโอกาสดีมาก ๆ ที่จะมีหนังให้คนได้ชมเพื่อความบันเทิงมากมาย อย่างสัปดาห์นี้ก็มีหนังซุปเปอร์ฮีโร่ เข้าฉายอย่าง Morbius ครับ
เรียกได้ว่ารอบปีทีผ่านมานี้เป็นปีที่ดีดจัด ๆ ทั้งของ Sony และ Columbia Pictures ก็ว่าได้ครับ เพราะที่ผ่านมาในรอบไม่ถึงครึ่งปี กลับมีหนังจากจักรวาล Spider-Man ให้ได้ดูถึง 3 เรื่องแน่ะ ทั้งภาคต่อปีศาจวีนอมใน Venom Let There Be Carnage(2021) หนังปิดไตรภาคสไปเดอร์-แมนใน ‘Spider-Man No Way Home(2021) ที่สร้างความกรี๊ดกร๊าดประทับใจคนดู จนกลายเป็นภาพยนตร์ที่กวาดรายได้สูงสุดในช่วงโควิด-19 ดูหนังใหม่
รวมทั้ง มอร์เบียส เต็มเรื่อง พากย์ไทย เรื่องนี้นี่แหละครับ ที่เลื่อนตารางฉายหนีพี่โควิด-19 มานานเกือบจะหนึ่งปี ในที่สุด โซนี่ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวฮีโรวายร้ายตัวใหม่ เจ้าของฉายา ‘แวมไพร์ที่มีชีวิต’ (The Living Vampire) ซึ่งจริง ๆ แล้ว มอร์เบียสเองเคยเกือบจะได้เป็นวายร้ายในภาพยนตร์ฮีโรครึ่งมนุษย์ครึ่งแวมไพร์Blade 2(2002) เวอร์ชันเฮีย เวสลีย์ สไนปส์(Wesley Snipes) แล้วด้วยนะครับ แต่ว่าพอมีการเปลี่ยนตัวผู้กำกับกะทันหัน แวมไพร์ตนนี้ก็เลยถูกดองยาว ไม่ได้แจ้งเกิดบนแผ่นฟิล์มเสียที
จนมาถึงปีนี้แหละ ที่โซนี่เลือกหยิบฮีโรวายร้ายตัวนี้มาสร้างเพื่อสานต่อแนวทางแอนตีฮีโร(และผู้เขียนก็เดาเองว่า น่าจะเป็นการปลุกปั้นทีม Sinister Six 6วายร้ายจักรวาลสไปเดอร์-แมน ในอนาคตแหง ๆและได้ผู้กำกับที่เป็นแฟนการ์ตูน Marvel อย่างแดเนียล เอสปิโนซา(Daniel Espinosa) ที่เคยกำกับภาพยนตร์Life (2017) และ Safe House(2012) มาร่วมกำกับภาพยนตร์ฮีโรแวมไพร์ตัวแรกของจักรวาลสไปเดอร์-แมนด้วย
นักแสดงและบทบาทที่ได้รับ จาเรด เลโต รับบทเป็น ดร.ไมเคิล มอร์เบียส เอเดรีย อาโจน่ารับบทเป็น มาร์ทีน แบนครอฟ์ แมตต์ สมิธรับบทเป็น ลูเซียส คราวน์ (ไมโล) ไทริส กิ๊บสันรับบทเป็น ไซม่อน สเทราด์
อาร์ชีย์ เรน็อกซ์รับบทเป็น บ็อบบี้ หนังใหม่
รีวิวหนังMorbius มอร์เบียส เรื่องย่อ/เนื้อเรื่อง
เรื่องราวของชายที่ชื่อว่า ดร.ไมเคิล มอร์เบียส (รับบทโดย จาเรด เลโต) ชายที่มีอาการป่วยตั้งแต่กำเนิด เขาเป็นโลกที่เลือดจะแข็งตัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายไม่สมบูรณ์ และต้องถ่ายเลือดในร่างกายวันละ 3 ครั้ง เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ดร.ไมเคิล มอร์เบียส จึงมีความฝันมาตั้งแต่เด็กๆที่จะโตขึ้นไปเป็นหมอ
เพื่อหาทุกวิถีทางในการรักษาโลกร้ายนี้ให้จงได้ จนเวลาผ่านมาหลายปี เขาก็เป็นหมอได้สำเร็จตามที่เขาหวังไว้ เขาทำการสร้างเลือดเทียมได้สำเร็จ และเลือดนั้นก็เป็นผลงานที่ช่วยเหลือผู้คนได้เยอะมากๆ อาทิ คนที่เกิดอุบัติเหตุ หรือคนที่ต้องการเลือดแบบเร่งด่วน
ซึ่งถ้าปกติก็ต้องไปตามหาเลือดหรือขอบริจาคเลือดจากคนที่ตรงกัน แต่ในหนังคือไม่ต้อง เพราะสามารถใช้เลือดที่ ดร.ไมเคิลคิดมาใช้แทนได้ทันที ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบล จากความสำเร็จในครั้งนี้ แต่ตัวของ ดร.ไมเคิล กลับไม่ยอมรับรางวัล เพราะสำหรับเขาแม้ว่าจะสร้างเลือดเทียมมาได้ ดูหนังใหม่
แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาโรคของตัวเองได้ เขาจึงมองว่ามันเป็นการทดลองที่ไม่ประสบความสำเร็จ จากนั้นเขาจึงลองหาวิธีการใหม่ โดยการศึกษาค้างค้าว เพราะว่าเวลาค้างคาวดูดเลือดเหยื่อ ค้างคาวจะปล่อยสารบางอย่างมาเพื่อให้เลือดไม่แข็งตัว รีวิวหนังออนไลน์
เขาจึงอยากสกัดสารนั้นมาฉีดใส่ตัวเอง เลือดเขาจะได้ไม่แข็งตัว ซึ่งเขาได้ทดลองกับหนูทดลองแล้วสำเร็จ จึงตัดสินใจที่จะทดลองกับตัวเอง แต่ปรากฎว่าสารที่เขาฉีดเข้าไป มันทำให้เขากลายพันธ์เป็นตัวประหลาด สุดท้ายแล้วเรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร คงต้องไปรับชมกันด้วยตาตัวเอง มอร์เบียส morbius เต็มเรื่อง วันนี้ทุกโรงภาพยนตร์ หนังใหม่
ความรู้สึกหลังดูหนังเรื่อง Morbiusมอร์เบียส
น่าเสียดายที่บทภาพยนตร์ในการบอกเล่าความเป็นมาของตัวละคร Morbius นั้นถือว่าเป็นการเล่าที่มาที่ไปของตัวละครได้เชื่องช้า ไม่กระเตื้องไปข้างหน้าสักเท่าไหร่ อันที่จริงเราอาจจะบอกได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า แค่ดูเทรลเลอร์ตัวอย่างภาพยนตร์ของหนังเรื่องนี้ก็แทบจะครอบคลุมสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังทั้งหมด เหลือก็เพียงแค่เอนเครดิตที่บอกเล่าเรื่องราวที่นำไปสู่เหตุการณ์ต่อๆไปในจักรวาลแยกย่อยของสไปเดอร์เวิร์ส
ปัญหาของ ดูหนัง morbius เต็มเรื่อง พากย์ไทย จริงๆแล้ว คล้ายกับหนังเรื่อง Venom ภาคแรกที่พยายามจะบอกเล่าเรื่องราวของ “ตัวร้าย” ที่ไม่ได้เลวอย่างที่คนดูเคยรู้จักกัน ความโหดร้ายป่าเถื่อนของตัวละครเหล่านี้ จริงๆแล้วพวกเขาพยายามต่อสู้กับพลังอำนาจที่ตัวเองไม่สามารถควบคุมได้ จนท้ายที่สุดตัวละครเหล่านี้ก็มีเหตุจำเป็นที่จะต้อง “สูญเสีย” อะไรบางอย่าง เพื่อจะเรียนรู้ถึงอำนาจที่ตัวเองมีในตอนท้าย
สิ่งที่ Venom ภาคแรกมีแต่ Morbius ไม่มีก็คืออารมณ์ขันแบบร้ายๆ การปะทะอารมณ์กันระหว่างเอ็ดดี้และเวน่อมที่เหมือนคนบ้าสองคนอยู่ด้วยกัน ทำให้เรื่องราวระหว่างทางที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่ กลับดูเพลินและสนุก ทว่าสิ่งเหล่านี้ก็ไม่อาจจะอุดช่องโหว่ของความจืดชืดในหนังภาคถัดมาอย่าง Venom 2 ซึ่งทำให้ผู้ชมได้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่า เสน่ห์และความโดดเด่นของคาแรกเตอร์นั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้บทที่วนอยู่ในอ่างสนุกขึ้นได้
น่าเสียดายที่ Morbius นั้นไม่มีกระทั่งอารมณ์ขัน กระทั่งฉากแอ็คชั่นที่คนดูเฝ้ารอก็มีเพียงน้อยนิด แถมฉากใหญ่ไคลแม็กซ์นั้นก็ไม่ได้ถือว่าคุ้มค่ากับการรอคอย เมื่อคนดูต้องอดทนรอห้วงเวลาดังกล่าวมาเกือบ 1 ชั่วโมงครึ่งแล้วก็ตาม รีวิวหนังออนไลน์
แม้การเดินเรื่องของพล็อตจะพยายามเดินเรื่องด้วยรูปแบบหนังสยองขวัญ ที่ต้องชมว่าทำได้ออกมาสยองขวัญจริง ๆ แต่ปัญหาน่าหนักใจเกี่ยวกับบทก็คือ มันเชยและทื่อสุด ๆ ครับ แม้ว่าพล็อตและสตอรีของตัวละครจะน่าสนใจ แต่การดำเนินเรื่องกลับเชยราวกับเป็นหนังฮีโรเมื่อ 20 ปีที่แล้วอย่างไรก็อย่างนั้นเลย คือแทบจะเดินเรื่องเป็นเส้นตรง และ ใช้สูตร “ต้นกำเนิดฮีโร” (มีปัญหาชีวิต/ค้นพบพลังโดยบังเอิญ/ควบคุมพลังไม่ค่อยได้/ต้องต่อสู้เหล่าร้าย) กันแบบโต้ง ๆ เลยก็ว่าได้ ซึ่งมันทำให้ตัวหนังเล่าเรื่องได้ออกมาทั้งเชย ทื่อ ไร้เสน่ห์ เดาเรื่องง่ายตั้งแต่องก์แรก และไม่มีความ Hype ใด ๆ เหมือนอย่างที่หนังฮีโรยุคนี้มีกัน แถมมุก Easter Egg ที่ใส่มาก็ดันไม่ค่อยขำซะงั้น
โดยสรุป แม้ ‘Morbius’ จะมีคาแรกเตอร์และพล็อตที่น่าสนใจ แต่สุดท้ายตัวบทนี่แหละที่ทำให้ตัวหนังทั้งเชยและขาดเสน่ห์ จนดูเหมือนว่าจะไม่สามารถสร้างเอกลักษณ์ และวางที่ทางของตัวเองในจักรวาลสไปเดอร์-แมนได้สำเร็จ บทป่วย ๆ ทำให้หนังกลายเป็นเพียงหนังซูเปอร์ฮีโรแบบ Old School ที่ถอดคาแรกเตอร์จากคอมิก แล้วก็เล่าเรื่องตามสูตรแบบเด๊ะ ๆ โดยที่ไม่ได้เพิ่มมิติให้กับตัวละคร สอดแทรกประเด็นซีเรียสเหมือนหนังฮีโรยุคปัจจุบัน หรือเพิ่มเสน่ห์เฉพาะตัวให้มีความน่าจดจำได้สักเท่าไหร่
ซึ่งเอาเข้าจริง ถ้าจะดูหนังเรื่องนี้ในฐานะหนังแอ็กชันฮีโรเพลิน ๆ ตะลุยดะไปเรื่อย ๆ แบบไม่ต้องคาดหวังอะไรมาก ก็ถือว่าพอจะถูไถได้อยู่ล่ะนะครับ แต่ถ้าคุณผู้อ่านเป็นคนที่อินกับความเป็น Marvel และอยากดูเพื่อเชื่อมจักรวาลสไปเดอร์-แมน ซึ่งอันที่จริงมันก็พอจะเชื่อมได้ (ด้วย End Credits ตัวที่ 2) นั่นแหละครับ แต่ถ้าจะดูเพื่อความ Hype ว้าวซ่าน้ำตาแตก ชนิดที่ว่าเดินออกมาจากโรงแล้วคันปากอยากสปอยล์ แนะนำให้ไปดู ‘Spider-Man : No Way Home’ (2021) หรือไม่ก็ข้ามจักรวาลไปดู ‘The Batman’ (2022) อีกซักรอบน่าจะดีกว่าครับ